วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

รายการคนค้นฅน ตอน ศศิน เฉลิมลาภ - 388 กิโลเมตร จากป่าสู่เมือง

ยังเป็นประเด็นร้อนที่ได้รับการพูดถึงและส่งต่อ สำหรับกรณี ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี (ช่อง 9) ระงับการออกอากาศ 'รายการคนค้นฅน ตอน ศศิน เฉลิมลาภ - 388 กิโลเมตร จากป่าสู่เมือง’ ด้วยอ้างเหตุผลว่ารายการเสนอข้อมูลคัดค้านโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์เพียงแง่ด้านเดียว
       เบื้องลึกไม่สู้ดีนักเพราะแว่วว่าถูกอำนาจทางการเมืองเข้าคุกคามอีกเช่นเคย ทำให้ชวนคิดสงสัยว่าแล้วทีสื่อของรัฐบาลที่เสนอข้อมูลข่าวสารอวยทุกโครงการของภาครัฐ หมกเม็ดข้อเท็จจริงที่สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติ ทำไมถึงได้ออกอากาศทางฟรีทีวีกันโครมๆ
     
        ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 กันยายน ที่ผ่านมา ศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร นำทีมกิจกรรมเดินเท้าคัดค้านการอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ในการสร้างเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความตระหนัก และความตื่นตัวของประชาชน เพราะกรณีการสร้างเขื่อนแม่วงก์นั้นจะผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง อีกอย่างที่สำคัญข้อมูล EHIA เขื่อนแม่วงก์ ไม่ได้ระบุข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งหมด
     
        การเดินท้าวคัดค้านเขื่อนแม่วงก์ กว่า 388 กิโลเมตร จากป่าบริเวณอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ ถึงเมือง ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ใช้เวลาราว 13 วัน ซึ่งก็ปลุกกระแสให้คนจำนวนมากลุกฮือขึ้นมาแสดงจุดยืนว่า 'พวกไม่ต้องการเขื่อนแม่วงก์ เพราะในความเป็นจริงการสร้างเขื่อนฯ ก่อผลเสียมากกว่าหลายต่อหลายเท่า'
     
        ขณะที่รายการ คนค้นฅน ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี (เจ้าของ บริษัท อสมท จำกัด มหาชน) ก็มาถ่ายทำเรื่องราวการคัดค้านเขื่อนแม่วงก์ของ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร เพื่อถ่ายทอดสะท้อนความเป็นจริงต่อสาธารณะ แต่ท้ายที่สุดทาง อสมท กลับประกาศระงับการออกอากาศเทป 'รายการคนค้นฅน ตอน ศศิน เฉลิมลาภ - 388 กิโลเมตร จากป่าสู่เมือง’ ด้วยเหตุที่ถูกสังคมตีธงแล้วว่าถูกกลุ่มการเมืองเข้าแทรกแซง อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ได้ออกอากาศตามปกติทางผู้ผลิตก็ไม่ละทิ้งอุดมการณ์ นำไปออกอากาศผ่านโลกออนไลน์บนยูทูวบ์แทน
     
        อสมท ฟรีทีวีรับใช้รัฐบาล
        ภายหลังข่าวการระงับการออกกากาศแพร่สพัดไม่นาน สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ผู้ดำเนินรายการคนค้นฅน ผู้บริหารบริษัททีวีบูรพา จำกัด ได้ออกแถลงการณ์ทันทีด้วยการฉีกเทปกาวสีดำออกเป็นชิ้นๆ แล้วเริ่มนำมาปิดบริเวณปาก ปิดบริเวณหู และปิดบริเวณดวงตา โดยไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมา
     
        ในประเด็นนี้หากวิเคราะห์ในบริบททางการเมือง ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล อาจารย์ประจำสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อธิบายว่า แม้ทาง อสมท จะออกมาชี้แจ้งถึงการระงับกการออกอากาศ แต่ย้ำชัดเลยว่านี่เป็นการคุกคามสื่ออย่างแน่นอน
     
        “เป็นนัยยะในความเข้าใจของฝ่ายประชาชนว่าสื่อนั้นถูกคุกคามแล้ว และที่ชัดเจนคือตัวผู้ผลิตรายการเองก็เหมือนกับประชดประชัน (ด้วยท่าทีการแถลงข่าว และออกอากาศทางยูทูวบ์) ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่ามีการแทรกแซงของผู้มีอำนาจอย่างแน่นอน”
     
        ผศ.ทวี วิเคราะห์ว่ากรณีดังกล่าวอาจไม่ใช่การสั่งการโดยตรงของคณะผู้บริหาร อสมท “ก็คงต้องใหญ่กว่า อสมท เองเค้าก็ไม่ทำหรอกโดยจรรยามารยาทวิชาชีพก็เป็นสื่อด้วยกัน แต่นี้มีอำนาจทางการเมืองที่เหนือกว่า ว่ากันตามตรงก็ย้อนไปดูว่าใครละที่มีอำนาจดูแล อสมท ผมเชื่อว่ามีอำนาจทางการเมืองที่เข้ามาแทรกแซง และคุกคามสื่อในครั้งนี้”
     
        การปิดกั้นข้อมูลประชาชนในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงประเด็นการนำเสนอเรื่องราวการคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ แต่สะท้อนไปถึงความล้มเหลวของรัฐบาลที่กำลังตกอยู่ในระบอบเผด็จการ
     
        “แม่วงก์เป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่รัฐบาลนี้พยายามระมัดระวังมาก ในเรื่องของกระแสสังคม ถ้ามีกระแสสังคมที่ต่อต้านรัฐบาลไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งมันแรงขึ้นมันก็เป็นอันตราย เพราะรัฐบาลก็โดนอยู่หลายศึก ขณะนี้ก็ศึกรัฐธรรมนูญก็อีนุงตุงนังอยู่ ส่วนเรื่องเขื่อนแม่วงก์รัฐบาลก็กังวลในเรื่องของโซเซียลเน็ตเวิร์ค ซึ่งผ่านทั้งกลไก สื่อหลัก วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และก็สื่อสมัยใหม่พวกโซเซียลมีเดียทั้งหลาย สื่อตัวนี้แหละทำให้ประเด็นต่างๆ มันขยายตัวอย่างรวดเร็ว รัฐบาลเห็นแล้วว่ากรณีของเขื่อนแม่วงก์มันขยายวงไปคนรุ่นใหม่มากขึ้น รัฐบาลเป็นห่วงมากก็เลยคิดว่าถ้าเป็นไปได้ก็ต้องกีดกัน หรือแทรกแซงเข้าไว้ ซึ่งนี่อาจเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการแทรกแซง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะว่ารัฐบาลก็กลัวไปทุกเรื่อง และพยายามจะป้องกันทุกเรื่อง”
     
        ฉะ! ระบอบเผด็จการวิตกจริต
        “คือรัฐบาลชุดนี้เราต้องยอมรับว่ามีบุคลิกภาพอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ เผด็จการ คิดทำอะไรเอาอำนาจตัวเองเป็นหลัก ส่วนเรื่องที่สองคือ ความเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้เฉพาะพรรคพวก ใช้กลุ่มบริวารสร้างฐานอำนาจ ถ้าเรารวม 2 ส่วนเข้าด้วยกัน ความเป็นเผด็จการ และความเห็นแก่ตัว รัฐบาลชุดนี้พยายามที่จะไม่ฟังเสียงใคร ถ้าย้อนนึกไปสิ่งนี้แหละจะทำให้รัฐบาลพัง เพราว่าสมัยก่อน ไม่ว่าจะเผด็จการสฤษดิ์ หรือเผด็จการถนอม ฯลฯ เหล่านี้พยายามปิดหูปิดตาแล้วก็พังไปหมดเลย
     
        “ยิ่งกว่านั้นก็คือ ยิ่งปิดกั้นยิ่งระเบิดออก เพราะทฤษฎีประชาธิปไตย์ บอกไว้ว่าความต้องการในการแสดงความคิดเห็นเหมือนกับพลังไอน้ำที่อยู่ในหม้อต้มน้ำ ส่วนบรรยากาศทางการเมืองก็เหมือนกับเชื้อไฟ อย่างรัฐบาลมาปิดกั้นมันก็ทำให้ไอน้ำไม่มีทางออก เมื่อรัฐบาลปิดกั้นมันก็จะระเบิด ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยเค้าไม่ปิดกั้นหรอกครับ ยิ่งปิดกั้นมันก็จะระเบิด เมื่อระเบิดมันก็จะพัง น้ำร้อนก็จะมาลวกทำลายเผด็จการนั้นพังไปด้วย รัฐบาลชุดนี้เป็นเผด็จการแบบหน้ามืดตามัว คือไม่สนใจ ไม่ฟังเสียง แล้วก็ไม่รรู้ประวัติศาสตร์การเมืองของโลกด้วยว่าประชาธิปไตยมันพังเพราะอะไร และเผด็จการมันพังเพราะอะไร” ผศ.ทวี กล่าว วิพากษ์กรณีหากรัฐบาลเข้าทำการแทรกแซงสื่อ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วเมื่อครั้งอดีต
     
        อย่างไรก็ตาม รายการคนค้นฅน ได้เปิดเผยข้อมูลว่า จากกิจกรรมการเดินคัดค้าน ส่งผลให้รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เป็นตัวแทนรับมอบจดหมายการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ (EHIA) โครงการเขื่อนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์
     
        พร้อมกับกล่าวบนเวทีว่า รัฐมนตรีฯ มีนโยบายที่จะไม่เร่งรัด ในการพิจารณาโครงการเขื่อนแม่วงก์ ตลอดจนรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ ด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพซึ่งจะทำโดยความรอบคอบรัดกุม และยังไม่นำเข้าสู่วาระการประชุม ของคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) ซึ่งรับผิดชอบการประชุม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สพ.)
     
        ผศ.ทวี อธิบายวิเคราะห์เพิ่มเติมว่า ถ้ารัฐบาลเข้าใจพลังมวลชนโครงการฯ นี้จะมีการเลื่อนแน่นอน แต่ประชาชรอย่าชลาใจ “ผมเชื่อว่าด้วยความหน้ามืดตามั่วของเผด็จการชุดนี้เค้าจะไม่ฟัง จะดึงดันสร้างต่อให้ได้ ซึ่งจุดจบก็จะนำมาซึ่งการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลอย่างหนัก ภาษาคุณทักษิณ ชินวัตร ก็คือ Let's it be อะไรจะเกิดก็ช่างบิดามารดา
     
        “อย่างที่เราทราบว่าเค้าก็ไม่ล้มเลิกหรอก เราดูในกระะบวนท่าเค้าก็จะใช้เวลาให้คนลืมอีกสักนิดนึงเดี๋ยวก็แอบทำอะไรกันต่อไป ก็คงต้องติดตามดูแหละครับว่าประชาชนจะลืมหรือไม่ ประชาชนจะวางมือหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับคนที่จะเป็นผู้นำกระแส ไม่ว่าจะเป็นทาง มูลนิธิสืบ นาคเสถียร หรือว่าทาง NGO ต่างๆ จะทำอย่างไรต่อไป แต่ในแง่รัฐบาลเค้าน่าจะไม่ดึงดันแต่เค้าก็ไม่ละทิ้ง คือยังน่าจะทำต่อไป”
     
        อย่าหยุดพลัง 'ต้าน' เขื่อนแม่วงก์
        กลับมาพิจารณาถึงเหตุผลที่นำมาอ้างเพื่อระงับการออกอากาศ 'รายการคนค้นฅน ตอน ศศิน เฉลิมลาภ - 388 กิโลเมตร จากป่าสู่เมือง’ ฝากโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ธีรัตถ์ รัตนเสวี โพสต์แก้ต่างผ่านทวิตเตอร์ ถึงสาเหตุที่ระงับออกอากาศรายการคนค้นฅน ว่าเป็นการตัดสินใจของกองเซ็นเซอร์ของ ช่อง 9 เพราะพบว่ามีการนำเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียว
     
        นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ อธิบายขึ้น “เหตุผลอย่างนี้มันไม่ใช้ มันไม่ถูกต้อง เรามีสิทธิจะเลือกทั้งทางลบและทางบวก เมื่อมันมีทางลบออกมาแล้วพวกคุณก็เสนอทางบวกอยู่แล้ว มันเป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะเลือกว่าจะเชื่อรัฐบาล หรือจะเชื่อ NGO แต่ถ้าไปปิดกั้นมันก็มีแต่ข่าวสารของรัฐด้านเดียว คนสมัยใหม่ฉลาดพอที่จะรู้ว่ารัฐฯ เต็มไปด้วยความหลอกลวงเล่ห์กลอย่างไร เค้าก็จะยิ่งปฏิเสธอำนาจรัฐ แต่ถ้ามีสื่อ 2 ด้าน คนก็มีทางเลือก เป็นโลกกว้าง โลกแห่งสติปัญญา ”
     
        อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวสะท้อนกลับไปที่รัฐบาลอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะโมเดิร์นไนน์ทีวีอยู่ในการกำกับดูแลของรัฐฯ โดยตรง “รัฐมีแต่เสีย เสียทั้งตัวระบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นเผด็จการ เสียทั้งความรู้สึกของผู้คนที่ทำให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ ใจแคบ และสุดท้ายในทางวิชาชีพถือว่ารัฐบาลได้ละเมิดวิชาชีพของสื่ออย่างรุนแรง”
     
        นอกจากนี้ยังมีความเคลื่อนไหวทางด้านกฏหมาย ที่กำลังจะมีการฟ้องร้องทางช่องต่อกรณีที่เกิดขึ้น ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ออกแถลงการณ์ เรื่อง สมาคมฯ เตรียมฟ้องช่อง 9 ในฐานละเมิดสิทธิผู้ชมรายการคนค้นฅน ตอน ศศิน เฉลิมลาภ - 388 กิโลเมตร จากป่าสู่เมือง โดยมีเนื้อหาระบุว่า
     
        “ตามที่สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนทน์ทีวี ช่อง 9 ได้สั่งห้ามการเผยแพร่เทปรายการคนค้นฅน ตอนศศินเดินเท้าต้านเขื่อนแม่วงก์ เมื่อวันเสาร์ที่ 28 กันยายน เวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ผู้ผลิตรายการคือ ทีวีบูรพา ได้โฆษณาเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปต่อสาธารณชนมาก่อนหน้านี้แล้วว่า จะมีการเผยแพร่ในวันเวลาดังกล่าว
     
        “โดยอ้างว่าเนื้อหาเป็นการนำเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียว ขาดความสมดุลกันระหว่างผู้สนับสนุน และเห็นต่างในกรณีเขื่อนแม่วงก์นั้น การกระทำของช่อง 9 มิได้ยืนอยู่บนหลักความเป็นธรรม เข้าข่ายการเลือกปฏิบัติ อันเป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 30 โดยชัดแจ้ง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ มีรายการของรัฐบาลที่โฆษณาชวนเชื่อ และเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียวออกมามากมาย แต่ช่อง 9 ก็มิได้สั่งห้ามการเผยแพร่ภาพแต่อย่างใด เช่น การเสวนาเกี่ยวกับการสร้างอนาคตประเทศการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทของกระทรวงคมนาคม การออกอากาศรายการนายกฯ พบประชาชน ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นการให้ข้อมูลฝ่ายเดียวต่อสาธารณชนทั้งสิ้น
     
        “พฤติการณ์ และการกระทำของช่อง 9 ไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากการเชียร์ผู้มีอำนาจอย่างออกหน้าออกตา “ปิดหูปิดตาประชาชน” ที่มีสิทธิที่จะรับรู้ความจริงอีกด้าน โดยไม่คำนึงถึงหลักจริยธรรมในการนำเสนอรายการต่อสาธารณชน ทั้งๆ ที่เป็นบริษัทมหาชน ที่มาจากเงินภาษีของประชาชน หาใช่เงินของรัฐมนตรี หรือนักการเมืองคนใดคนหนึ่งไม่
     
        “สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน จึงขอให้ช่อง 9 ทบทวนพฤติการณ์ และการกระทำดังกล่าวเสีย และเรียกร้องให้ กสทช.เข้ามาดำเนินการ หรือสั่งการตามอำนาจหน้าที่เพื่อให้ช่อง 9 นำเทปรายการคนค้นฅน ตอนศศินเดินเท้าต้านเขื่อนแม่วงก์ มาออกอากาศโดยเร็ว เพื่อยืนยันว่าช่อง 9 ยังยืนอยู่เคียงข้างสาธารณชน และเป็นสื่อของสาธารณชนอย่างแท้จริง และหากช่อง 9 ยังเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องนี้ สมาคมฯ จำเป็นที่จะต้องร่วมกับผู้ชม และนักอนุรักษ์อื่นในการพึ่งอำนาจศาลปกครองโดยเร็วแน่นอน”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น